Posts List

Health

  • ผักผลไม้ช่วย ลดน้ำหนัก ได้จริงหรือไม่?
    ผักผลไม้ช่วย ลดน้ำหนัก ได้จริงหรือไม่?

    การเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วย ลดน้ำหนัก ได้ ดังนั้นหลายๆคนจึงใช้วิธีนี้ในการลดน้ำหนัก โดยคนส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทานผักและผลไม้เป็นหลักเพราะเชื่อว่าสามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้ แล้วเคยสงสัยกันหรือไม่ว่า ที่เชื่อกันว่าการรับประทานผักผลไม้จะทำให้น้ำหนักลดลงได้จริงหรือ? วันนี้เรามีความรู้ดีๆ มาฝากกันค่ะ 

    ถ้าจะบอกว่าผักผลไม้นั้นสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ ต้องขอบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสียทีเดียว เพราะผักผลไม้บางชนิดก็เป็นตัวการของความอ้วนได้เช่นกัน โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลในปริมาณมากๆ อย่าง พืชตระกูลหัว เช่น แครอท หรือผลไม้บ้างชนิด เช่น ทุเรียน มะม่วง ฝรั่งสุก ฯลฯ ผักผลไม้เหล่านี้หากรับประทานมากๆจะทำให้อ้วนได้เช่นกัน ฉะนั้นอย่าคิดว่ารับประทานผักผลไม้ชนิดไหนๆก็ช่วยลดน้ำหนักได้โดยเด็ดขาดเลยค่ะ ไม่อย่างนั้นแทนที่จะได้ผอมลงก็อาจจะอ้วนขึ้นแทน ไม่คุ้มกันเลยล่ะ

    ผักผลไม้ช่วย ลดน้ำหนัก ได้จริงหรือไม่?

    ได้ทราบแบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งเลิกรับประทานผักผลไม้ไปเลยล่ะ เพราะจริงๆแล้ว หากเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่เหมาะสมแล้ว ก็จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้แน่นอนค่ะ โดยผักและที่ควรเลือกรับประทานเพื่อลดน้ำหนักก็ได้แก่ ผักที่มีกากใยมากๆ อย่างผักใบเขียว และผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อย เช่น คะน้า บรอกโคลี แอปเปิ้ล ฝรั่งที่ไม่ยังไม่สุก แตงโม มะละกอ เป็นต้น เพราะอาหารพวกนี้มีประโยชน์หลายๆ ด้านในการลดน้ำหนัก เช่น ช่วยในการขับถ่าย ลดปัญหาท้องผูก และช่วยให้อิ่มนานขึ้น ลดปัญหาการกินจุบจิบไปได้เยอะเลยล่ะค่ะ

    หรือถ้าการลดน้ำหนักไม่ทันใจคุณ และคุณอยากจะมีรูปร่างที่ดีแบบรวดเร็วทันใจแล้วล่ะ ขอแนะนำการลดสัดส่วนแบบใหม่ อย่างการสลายไขมันด้วยความเย็นหรือ CoolSculpting ซึ่งเป็นนวัตกรรมการลดสัดส่วนแบบทีไม่มีแผล ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดูด และไม่ต้องพักฟื้น โดย CoolSculpting เป็นการควบคุมความเย็นอุณหภูมิติดลบเข้าไปกำจัดไขมันส่วนเกินบริเวณที่มีปัญหา ซึ่งในการทำแต่ละครั้งสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกได้ 20 – 30% ภายในเวลา 35 – 45 นาทีเท่านั้น แถมในขณะที่ทำผู้เข้ารับการทำ คนไข้ก็ยังสามารถทำกิจกรรมเบาๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ หรือแม้แต่นอนหลับพักผ่อนได้ และหลังจากทำแล้วก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แล้วปล่อยให้ร่างกายค่อยๆกำจัดซากของเซลล์ไขมันที่ได้รับความเย็นจนทำให้ตายลง ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 – 3 เดือนก็สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน

    ข้อมูลจาก   https://www.apexprofoundbeauty.com/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89-%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81/

    ติดตามอ่านต่อได้ที่  calendimaggio.com

Economy

  • นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4%
    นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4%

    นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4% จับตากำแพงภาษีกดดันส่งออกไม่สดใส

     

    SCB EIC ชี้จีนเปิดประเทศ ช่วยท่องเที่ยว โรงแรม คืนชีพ สร้าง GDP ไทยโต 3.4% จับตาการส่งออกเผชิญความท้าทาย หลังพบกำแพงภาษีเพิ่ม ชี้อาจเติบโตแค่ 1.2%

    ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC ประเมิน การเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัวมากจากปีก่อน แต่ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยน้อยลง จาก 3 ปัจจัยหลัก 1.ผลกระทบจากวิกฤติพลังงานในกลุ่มประเทศยุโรปน้อยกว่าคาด จากสภาพอากาศฤดูหนาวที่ไม่รุนแรงมากและราคาพลังงานโลกลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับอัตราการว่างงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

    2.จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด เพราะประชากรมีภูมิคุ้มกันมากขึ้นหลังผ่านการระบาดรุนแรงในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งจะช่วยให้ตั้งแต่ไตรมาส 2 กิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น 3.ทิศทางเงินเฟ้อโลกเริ่มชะลอตัวชัดเจนขึ้น ทำให้ทิศทางเศรษฐกิจโลกดีขึ้น แต่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์และการกลับมาใช้มาตรคุมเข้มโควิดในจีนหากเกิดการระบาดอีกระลอก

    นักวิเคราะห์ประเมินจีนเปิดประเทศดันเศรษฐกิจไทยโต 3.4% จับตากำแพงภาษีกดดันส่งออกไม่สดใส
    ส่วนเศรษฐกิจไทย SCB คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง 3.4% แรงส่งสำคัญมาจากภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน อีกทั้งประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายการท่องเที่ยวยอดนิยม จะทำให้ปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนไทยประมาณ 28.3 ล้านคน โดยจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน อาจทำให้การท่องเที่ยวในประเทศเติบโตดีดกลับไปใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด เพราะการบริโภคขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม สายการบิน บริษัททัวร์ รถเช่า การแพทย์ รวมถึงเอื้อให้การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของชาวต่างชาติขยายตัวมากขึ้น

    ขณะที่การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มไม่สดใสนักตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงมากภายใต้ความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น และอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ ยุโรป (เช่น กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า) และอินเดีย ซึ่งจะเริ่มมีผลบางส่วนตั้งแต่ปีนี้ และคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าไทยจะขยายตัวเพียง 1.2% ในปีนี้

    อย่างไรก็ตามแม้การเปิดประเทศของจีนจะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชนกลับมาคึกคักช่วยดึง GDP ประเทศให้เติบโตขึ้น แต่การคาดการณ์เงินเฟ้อในปี 2566 ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่ 3.2% โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปีจากราคาพลังงานในประเทศและราคาอาหารที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจาก 2.5% ในปี 2565 เป็น 2.7% รายได้ครัวเรือนบางกลุ่มจึงโตไม่ทันรายจ่ายประกอบกับเศรษฐกิจอยู่ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นซ้ำเติมภาระค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังต้องจับตาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เพราะอาจกระทบเสถียรภาพการเมืองไทย และส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของไทยได้.

    ขอบคุณแหล่งที่มา : thairath.co.th

    สามารถอัพเดตข่าวสารเรื่องราวต่างๆได้ที่ : calendimaggio.com